ด้วยจำนวนคนเมืองที่เพิ่มขึ้นแบบพุ่งพรวดเป็นจรวดอย่างนี้ แต่พื้นที่ที่อยู่อาศัยดันมีเท่าเดิมและแสนจะจำกัด สุดท้ายก็หนีไม่พ้นสารพันปัญหาที่จะตามมา ทั้งความแออัด และความต้องการอาหารเพิ่มขึ้น แล้ววิธีไหนที่จะช่วยแก้ปัญหาชวนปวดหัวเหล่านี้ได้
จากข้อมูล The World’s Cities ขององค์การสหประชาชาติเผยว่า จำนวนผู้อาศัยในเขตเมืองทั่วโลกในปี 2018 มีมากถึง 55% จากจำนวนประชากรทั้งหมด และคาดว่าจะยิ่งเพิ่มสูงถึง 68% ในปี 2050 จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า ปัญหาความแออัดของพื้นที่อยู่อาศัยและปัญหาอาหารไม่เพียงพอ หรือปัญหาด้านความปลอดภัยของอาหารจะเพิ่มมากขึ้นแค่ไหนในอนาคต
แต่อย่าเพิ่งกังวลจนมากเกินไป เพราะตอนนี้โลกของเรามีเทรนด์ใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย ที่จะมาช่วยปรับไลฟ์สไตล์ของคนเมืองอย่างเราให้สามารถแชร์พื้นที่ที่อยู่อาศัยพร้อมกับสร้างอาหารไว้กินเองได้
Shared Living แบ่งพื้นที่ ปันความสุข
เมื่อเมืองคือแหล่งรวมทุกสิ่งไม่ว่าจะเป็นธุรกิจการค้า โอกาสในการประกอบอาชีพ หรือสิ่งอำนวยความสะดวก จึงไม่แปลกที่ใครก็อยากจะมาจับจองเป็นเจ้าของพื้นที่อันแสนครบครันเช่นนี้ แต่ด้วยข้อจำกัดของพื้นที่ ดังนั้นหากต้องการรองรับคนให้มากขึ้น ก็มีทางเดียว คือขยายพื้นที่ในแนวสูง แต่สูงเท่าไรล่ะถึงจะพอ หากเราไม่แชร์พื้นที่ร่วมกัน
นักวางแผนเมือง นักออกแบบ และนักคิดสร้างสรรค์ยุคนี้จึงพยายามเปลี่ยนพื้นที่ในเมืองให้มีลักษณะเป็น Shared Living ที่นอกจากจะเพิ่มประโยชน์ใช้สอยของพื้นที่ให้คุ้มค่าและทั่วถึงแล้ว ยังเปิดโอกาสให้ผู้คนได้พบปะพูดคุย แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และใช้เวลาทำกิจกรรมร่วมกันมากยิ่งขึ้น
Grow Green สวนสีเขียวสร้างได้ แม้อยู่บนยอดตึก
รู้หรือไม่ว่าเทรนด์โลกตอนนี้ เราไม่ได้แชร์แค่พื้นที่ในการทำงาน จิบกาแฟ หรือพูดคุยกันได้เท่านั้น แต่เรายังแชร์พื้นที่ในการ “สร้างสวนในเมือง” ร่วมกันได้อีกด้วย เพราะรูปแบบการอยู่อาศัยที่กำลังเปลี่ยนไปในอนาคต นอกจากจะมีที่อยู่อาศัยมากเพียงพอแล้ว คุณภาพชีวิตก็ต้องดีขึ้นด้วย ดังนั้นจึงไม่แปลกที่หลายๆ เมืองทั่วโลกต่างพยายามสร้างพื้นที่สีเขียวให้เป็นศูนย์กลางของชุมชนที่ผู้คนจะมาฟอกปอดร่วมกัน เช่นที่ประเทศเพื่อนบ้านเราอย่างสิงคโปร์ก็ดึงพื้นที่สีเขียวมาใกล้ผู้คนถึงในสนามบิน
ในประเทศไทยเราเองก็ตื่นตัวเรื่องนี้เช่นกัน อย่างที่แสนสิริมุ่งมั่นสร้าง Greater Well-Being พยายามคิดและสร้างพื้นที่สีเขียวให้อยู่ใกล้กับไลฟ์สไตล์คนเมืองมากที่สุด อย่าง Sansiri Backyard ที่ยกฟาร์มผักจากพื้นดินด้านล่างขึ้นไปอยู่บนพื้นที่ว่างเหลือใช้บนดาดฟ้าของคอนโดแสนสิริ ทำให้ลูกบ้านมีผักสดกินแถมใกล้เพียงเอื้อมมือ หรือแม้กระทั่งบนพื้นที่รอการใช้งานในแนวราบก็มีการนำพืชผักกินได้ไปปลูกไว้เช่นกัน ซึ่งนอกจากจะช่วยดึงออกซิเจน เพิ่มวิวสีเขียวสร้างความสดชื่นสวยงามให้กับทิวทัศน์ของพื้นที่อยู่อาศัยแล้ว ลูกบ้านยังสามารถนำพืชผักที่ปลูก ไปแบ่งปันกันประกอบอาหารได้ นอกจากนี้ผลผลิตยังกล่าวยังจะถูกแชร์ไปสู่ชุมชนรอบข้างอีกด้วย
Sustainable Innovation ขยายความยั่งยืน เติมเต็มคุณภาพชีวิต
บริษัทด้านการตลาด Hartman Group เปิดเผยรายงานที่ระบุว่า 69% ของผู้บริโภคสมัยใหม่ให้ความสำคัญความยั่งยืน และต้องการให้ร้านค้าแสดงความโปร่งใสในสินค้าและแสดงความพร้อมในการสนับสนุนความยั่งยืน มากไปกว่านั้นผู้คนยังหันมาใส่ใจสุขภาพมากยิ่งขึ้นและมองหาวัตถุดิบอาหารที่สดใหม่และปลอดภัย ทำให้ในปี 2019 นี้ เราจะเห็นบริษัทสตาร์ทอัพมากมายเกิดขึ้นเพื่อพยายามตอบโจทย์เทรนด์ “รักษ์โลก รักษ์สุขภาพ” นี้
ใครจะไปคิดว่าผักก็ปลูกไว้ในตู้โชว์ได้ แถมอร่อยด้วย
แต่ผักเหล่านี้ ไม่ได้ถูกปลูกทิ้งๆ ขว้างๆ เพราะมันได้รับการดูแลอย่างดีจากตู้กระจกที่สามารถควบคุมอุณหภูมิ แสง น้ำ และอาหารได้จากภายนอก ทำให้เราได้ผักที่เติบโตเต็มที่และสามารถเสิร์ฟในช่วงเวลาที่ดีที่สุดจริงๆ ผักที่เรากำลังพูดถึงนี้ คือผักที่ปลูกจากตู้ไฮเทคของ Farmshelf บริษัทสตาร์ทอัพจากนิวยอร์กซึ่งเป็น partner กับแสนสิริ ที่ต้องการสร้างโอกาสให้ผู้คนทั่วโลกสามารถเข้าถึงผักสดใหม่ ปลอดภัยและรสชาติดีอย่างทั่วถึง โดยไม่มีอุปสรรคด้านพื้นที่เพาะปลูก เพราะเราจะวางเจ้าตู้กระจกดังกล่าวนี้ไว้ที่ไหนก็ได้ และในอนาคต ความฝันที่จะมีแปลงผักสวนครัวแม้อาศัยอยู่บนคอนโดก็ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป แถมไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีเวลาหรือลืมดูแล เพราะเรามีตู้อัจฉริยะดูแลให้แทนแล้ว
เมื่อความท้าทายในการจัดการพื้นที่อยู่อาศัยในเมืองกำลังเป็นโจทย์สำคัญ ทำให้เห็นว่าเทรนด์ทั่วโลกต่างมุ่งไปสู่การพยายามสร้างสรรค์ความเป็นอยู่ของผู้คนให้ดีขึ้นท่ามกลางพื้นที่จำกัด ที่นอกจากจะพยายามอัดแน่นประโยชน์ใช้สอยให้กับทุกพื้นที่แล้ว ก็ไม่ลืมที่จะดึงธรรมชาติมาใกล้ชิดกับชีวิตผู้คนให้มากที่สุด และในขณะเดียวกันการจะมีชีวิตที่ดีผลผลิตอาหารของคนเมืองก็ต้องเพียงพอด้วย
ข้อมูลจาก TREND 2019 NOW AGE: Manifesto and Action จัดทำโดย TCDC